โป๊ยเซียน, ปาเซียน หรือ แปดเทพ (จีน: 八仙; พินอิน: bā xiān, ปาเซียน; เวด-ไจลส์: Pa-hsien; อังกฤษ: Eight Immortals หรือ Eight Genies) คือ เซียนแปดองค์ ตามความเชื่อในลัทธิเต๋าของจีน เป็นเทพเจ้าที่ชาวจีนนับถือมาช้านาน นับเป็นหนึ่งในบรรดาเซียนนับร้อย ๆ องค์ของจีน แต่เซียนทั้งแปดนี้ นับว่าเป็นที่รู้จักดีและได้นับการนับถืออย่างกว้างขวางมาก
ในศาลเจ้าตามของหมู่บ้านชาวจีน มักจะมีแท่นบูชาที่ปูด้วยผ้ามีภาพวาดเซียนทั้งแปดรวมเป็นกลุ่ม บ้างก็เป็นภาพเซียนนั่งเรือกลับจากการไปงานประชุมท้อสวรรค์ (จีน: 蟠桃會; พินอิน: pán taó huì; อังกฤษ: Conference of the Magical Peach)
สมาชิกทั้ง 8 ในกลุ่มของโป๊ยเซียนนั้นแตกต่างกันไปตามยุคสมัย แต่ปัจจุบันนี้โป๊ยเซียนมีด้วยกันดังนี้
ไทย | จีน | อังกฤษ |
---|---|---|
หลี่ขาเหล็ก | อักษรจีน: 李鐵拐 (พินอิน: Lǐ Tiě Guǎi; เวด-ไจลส์: Li T'ieh-kuai) เสียงอ่าน: หลี่ เถีย ไกว่ (กลาง), ทิกุยลี่ (ฮกเกี้ยน), ทิดกวายเหล่ย (กวางตุ้ง), ทิก๋วยลี้ (แต้จิ๋ว) | Iron-Crutch Li |
จงหลี ฉวน | อักษรจีน: 鐘离權 (พินอิน: Zhōnglí Quán; เวด-ไจลส์: Chung-li Ch'üan) เสียงอ่าน: จงหลี ฉวน (กลาง), เจี๋ยงตีควน (ฮกเกี้ยน), จงสิดขือ (กวางตุ้ง), ฮั่นจงหลี (แต้จิ๋ว) | Zhongli Quan |
พระมาตุลาเฉา | อักษรจีน: 曹國舅 (พินอิน: Cáo Guó Jiù; เวด-ไจลส์: Ts'ao Kuo-ch'iu) เสียงอ่าน: เฉากั๋วจิ้ว (กลาง), ฉิวก๊กกู๋ (ฮกเกี้ยน), โฉวกวอเกา (กวางตุ้ง), เชาก๊กกู๋ (แต้จิ๋ว) | Royal Uncle Cao |
ปราชญ์หัน เซียง | อักษรจีน: 韓湘子 (พินอิน: Hán Xiāng Zi; เวด-ไจลส์: Han Hsiang Tzu) เสียงอ่าน: หัน เซียง จือ (กลาง), ฮั้นเจียวจู้ (ฮกเกี้ยน), ฮั้นเซียงจื่อ (แต้จิ๋ว) | Philosopher Han Xiang |
นางฟ้าเหอ | อักษรจีน: 何仙姑 (พินอิน: Hé Xiān Gū; เวด-ไจลส์: Ho Hsien-ku) เสียงอ่าน: เหอเซียนกู (กลาง), เฮอเซียนก๊อ (ฮกเกี้ยน), ฮ่อเซียนโกว (แต้จิ๋ว) | Immortal Woman He |
หลัน ไฉ่เหอ | อักษรจีน: 藍采和 (พินอิน: Lán Cǎihé; เวด-ไจลส์: Lan Ts'ai-ho) เสียงอ่าน: หลัน ไฉ่เหอ (กลาง), หน่าไฉฮัม (ฮกเกี้ยน), น่าไชหัว (แต้จิ๋ว) | Lan Caihe |
อาวุโสจัง กัว | อักษรจีน: 張果老 (พินอิน: Zhāng Guǒ Lǎo; เวด-ไจลส์: Chang Kuo Lao) เสียงอ่าน: จัง กัว เหล่า (กลาง), ติวเกอหล่าว (ฮกเกี้ยน), เจียงกั๋วเล้า (แต้จิ๋ว) | Elder Zhang Guo |
ลหฺวี่ ต้งปิน | อักษรจีน: 呂洞賓 (พินอิน: Lǚ Dòngbīn; เวด-ไจลส์: Lü Tung-Pin) เสียงอ่าน: ลหฺวี่ ต้งปิน (กลาง), ลีตงปิ่น (ฮกเกี้ยน), ลือท่งปิน (แต้จิ๋ว) | Lu Dongbin |
เซียนแต่ละองค์ในบรรดา 8 องค์นี้ มีประวัติที่มา และอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์แตกต่างกันไป ในปัจจุบันทั้งชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีน ยังนิยมนับถือบูชาโป๊ยเซียนอย่างสม่ำเสมอ
แ ป ด เ ซี ย น
เ ท พ 8 อ ง ค์ ผู้ อำ น ว ย โ ช ค ล า ภ แ ล ะ ค ว า ม ร่ำ ร ว ย
แปดเซียน หรือ โป๊ยเซียน มีนามว่า
1. ทิก๋วยลี้ เซียนแห่งยา และการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ
2. ฮั่นเจงหลี เซียนแห่งโชคลาภ การบริการ การปกครอง
3. ลื่อทงบิน เซียนแห่งการรักษาโรค
4. เจียงกั๋วเล้า เซียนแห่งความมั่นคง อายุยืน สุขภาพดี
5. น่าใช้หัว เซียนแห่งมวลบุปผาชาติ ความอุดมสมบูรณ์
6. นางฮ่งเซียนไกว เซียนแห่งความดีงาม ความซื่อสัตย์
7. ฮั่นเซียงจื้อ เซียนพยากรณ์ ผู้หยั่งรู้ และการดนตรี
8. เช่าก๊กกู่ เซียนแห่งยศฐาบรรดาศักดิ์
ทิก๋วยลี้ เซียนแห่งยา และการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ
ตำนานได้กล่าวไว้ว่าถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๑๐ ค่ำ เดือน ๗ ตามจันทรคติจีน ในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ระหว่าง พ.ศ. ๓๔๑ – ๕๓๕ เป็นคนแซ่หลี่ ชื่อตัวว่า หนิงเอี๋ยง หรือ หงซุ่ย หรือหลี่เชวียน หลี่เชวียนเป็นคนหนุ่มที่มีรูปร่างคมสัน สติปัญญาเฉลียวฉลาด ชอบถือศีลกินเจ และบำเพ็ญเพียรเป็นประจำ หลี่เชวียนรำพึงว่า “ตนเราเกิดมาแล้วต้องตาย ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ความอยากคือดาบอันคมกริบที่คอยตัดรอนธรรมอันบริสุทธิ์อยู่เสมอ ลาภยศทรัพย์สินเงินทองเป็นยาพิษ คอยเบื่อให้จิตใจหลงเมามัว ถึงแม้จะเป็นฮ่องเต้ มีอาณาจักรกว้างใหญ่ทั้งสี่ทิศ ก็เหมือนกับก้อนเมฆลอยอยู่นอกดวงจันทร์เท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของไม่เที่ยง เหตุใดหนอมนุษย์จึงไม่พิจารณา กลับปล่อยให้จิตใจจมปลักอยู่กับโลกียธรรมที่ผูกมัดอยู่เป็นปีที่ล่วงไป ไม่น่าหลงอยู่กับวัฏจักรเหล่านี้เลย”
เมื่อหลี่เชวียนคิดได้ดั่งนี้ เขาจึงออกธุดงค์เข้าป่าเขาไปตามถ้ำ ตลอดจนตามศาลเจ้าโรงเจ แต่ก็ยังไม่สำเร็จมรรคผล เพราะไม่มีอาจารย์ชี้แนะ หลี่เชวียนจึงเดินทางไปยังสำนักไท่ซังเล่าจุนที่ภูเขาหัวซาน ซึ่งเป็นภูเขาสูงเทียมเมฆเต็มไปด้วยต้นสนสูงหลายคนโอบ ยามเย็นมีเมฆลอยมาสัมผัสยอดเขาจนทำให้เกิดรังสีสายรุ้งสลับสวยงาม หลี่เชวียนเดินชมป่าเขามาจนมืดค่ำ รุ่งเช้า ไท่ซังเล่าจุน เจ้าสำนักนั่งสนทนากับอวนคูเซียนภายในถ้ำสำนัก ได้กลิ่นดอกไม้หอมโชยเข้าไปมากกว่าทุกวัน จึงตรวจดูบัญชีเซียน รู้ว่าหลี่เชวียนอยู่ปากถ้ำซึ่งจะได้เป็นเซียนทิก๋วยลี้ในไม่ช้า จึงให้ศิษย์ออกไปเชิญเข้ามาสนทนา หลี่เชวียนฝากตนเป็นศิษย์ศึกษาคำสอน ไท่ซังเล่าจุนกล่าวว่า “จงพยายามสงบอารมณ์ ร่างกายจึงจะสงบ เมื่อร่างกายและอารมณ์สงบแล้ว กามราคะก็ไม่เกิด กิเลสก็จะหมดไป จิตวิญญาณก็จะผ่องใสสะอาดบริสุทธิ์ยิ่งกว่าสำลี ทำให้ไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย”
หลี่เชวียนจึงกลับมาปฏิบัติบำเพ็ญเพียรที่สำนักของตนตามโอวาทของไท่ซังเล่าจุน จนสำเร็จญาณสามารถถอดวิญญาณออกไปท่องเที่ยวได้ คนที่สนใจสมัครมาเป็นศิษย์หลายคน ข้างไท่ซังเล่าจุนกับอวนคูเซียนขี่นกกระเรียนมาบนยอดเขานัดกับหลี่เชวียนจะไปท่องเที่ยวตามถ้ำพืดเขาเทียนซานทางภาคตะวันตก หลี่เชวียนจึงให้เย่จื่อศิษย์เฝ้าร่างตนไว้พร้อมกับสั่งว่า หากครบเจ็ดวันแล้วตนไม่มาให้เผาร่างนี้เสีย ว่าแล้วหลี่เชวียนก็ถอดวิญญาณออกจากร่างไปหาสองเซียนตามที่นัดกันไว้ พอถึงวันที่หก ทางบ้านบอกเย่จื่อว่ามารดาเจ็บหนัก เย่จื่อคิดหนักว่าจะไปรักษาพยาบาลมารดาดีหรือเฝ้าร่างของอาจารย์ดี จึงปรึกษากับเพื่อนศิษย์ด้วยกันว่าจะทำอย่างใดดี เมื่อความคิดที่ว่า อาจารย์สั่งสอนศิษย์เมื่อโตใหญ่ แต่มารดาสั่งสอนตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิ จะเอาบุญคุณของอาจารย์กับมารดามาเทียบกันคงไม่ได้ ถ้าทิ้งร่างอาจารย์ก็เป็นแต่ผิดสัญญา แต่ถ้าไม่ไปรักษาพยาบาลมารดาก็จะกลายเป็นคนอกตัญญู เมื่อคิดได้ดังนี้จึงจัดการเผาศพของอาจารย์ แล้วรีบกลับไปบ้าน แต่มารดาถึงแก่กรรมเสียก่อน
ฝ่ายไท่ซังเล่าจุนกับอวนคูเซียนต่างนำวิญญาณหลี่เชวียนท่องไปตามสำนักเซียนที่ภูเขาเทียนซาน ๓๖ สำนัก เพื่อให้หลี่เชวียนศึกษาปฏิบัติทางเวทมนตร์และสมาธิทุกสำนัก กล่าวกันว่า หลี่เซียนได้ศึกษาเวทมนตร์กับเทพเจ้าซื่อหวังมู่ และเล่าจื่อปรมาจารย์แห่งลัทธิเต๋าด้วย เมื่อครบ ๗ วันแล้วทำให้หลี่เชวียนร้อนใจเรื่องร่างของตน จึงลาอาจารย์มาที่โรงเจ ไม่พบร่างกายของตน มีแต่กระดูกยังติดไปกรุ่นอยู่จึงรู้แจ้งชัดแล้ว วิญญาณจึงล่องลอยไปยังเชิงเขาแห่งหนึ่ง เห็นศพขอทานเพิ่งตาย น่าตาน่าเกลียด ผมเผ้ารุงรัง ขาพิการข้างหนึ่ง มีไม้เท้าและถุงข้าวสารวางอยู่ข้างศพ เขาไม่มีทางเลือกจึงตัดสินใจเข้าสิงศพขอทาน จึงกลับฟื้นขึ้น เวทมนตร์คาถาศักดิ์สิทธิ์ตื่นทันทีด้วยมีร่างกายอาศัย เขาจึงเสกไม้เท้าให้เป็นเหล็ก ถุงข้าวสารเป็นน้ำเต้า แล้วกลับไปหาเย่จื่อ เสกมารดาเย่จื่อที่ตายไปให้ฟื้นขึ้น ต่างเล่าให้ฟังซึ่งกันและกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ทิก๋วยลี้ให้ยาวิเศษแก่เย่จื่อหนึ่งเม็ดทำให้ร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บไม่ป่วย ทำมาหาเลี้ยงมารดาจนสิ้นอายุขัย แล้วตนจึงไปบำเพ็ญเพียรที่สำนักเก่าของทิก๋วยลี้จนสำเร็จเป็นเซียน ทิก๋วยลี้จึงกลับมานำเย่จื่อไปอยู่ในสำนักเซียนเดียวกัน
ฮั่นเจงหลี เซียนแห่งโชคลาภ
จงหลี่เชวียน เดิมนามตัวว่า เชวียน ต่อมาได้เปลี่ยนเป็น เจ้ว ชื่อแบบฉบับเฉพาะตัวว่า จี่เต้า คนทั่วไปรู้จักกันในนามว่า เหอกู่จื่อ หรือ เจิ้นเอี๋ยงจื่อ หรือ เจิ้นเอี๋ยงจู่ซื่อ ได้รับการคารวะในนามของ เจ้าคณะใหญ่เจิ้นเอี๋ยง ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าองค์ที่เป็นเจ้าคณะใหญ่ทางภาคเหนือของจีน กล่าวกันว่า ท่านถือกำเนิดเมื่อ วันที่ ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ตามจันทรคติจีน เป็นคนยุคสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ระหว่าง พ.ศ. ๓๔๑ – ๕๓๕ บางตำนานกล่าวว่าเดิมท่านชื่อ จงหลี่ แซ่ฮั่น เป็นบุตรเจ้าเมืองฮันตง แต่ตำนานของลัทธิเต๋ากล่าวว่า ท่านเรียกตัวเองว่า จงหลี่ จากความที่ว่า “จงหลี่ผู้รักอิสระที่เดินตามแนวทางแห่งสวรรค์” จึงทำให้คนเข้าใจผิดว่าเป็น ฮั่นจงหลี่ ที่อ้างถึงคนชื่อ จงหลี่ในสมัยราชวงศ์ฮั่น อย่างไรก็ตาม บางตำนานกล่าวว่าท่านเป็นคนแซ่ จงหลี่ มีพี่ชายคนหนึ่งชื่อ จงหลี่ก้วง รับราชการเช่นเดียวกัน
ตอนที่ท่านถือกำเนิดปรากฏแสงสว่างจ้าขึ้นภายในบ้าน ลักษณะรูปร่างสูงใหญ่ อ้วน หน้าผากกว้าง ขนคิ้วดกยาว จมูกใหญ่ ครบเจ็ดวันจึงร้องไห้ เมื่อเจริญวัยขึ้นเป็นคนเฉียวฉลาด มีความจำแม่นยำ ชอบเรียนวิชาการต่อสู้ฝึกเพลงอาวุธได้แคล่วคล่องว่องไวหรือฝ่ายบู๊ เรียนวิชาตำราพิชัยสงครามได้อย่างลึกซึ้ง ได้เข้ารับราชการทหารที่เมืองฉางอาน
ถึงรัชสมัยฮ่องเต้ฮั่นอู่ตี้ ( หลิวเฉ่อ ) ครองราชย์ พ.ศ. ๔๐๓ – ๔๕๖ แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ทรงปราบปรามชนเผ่าซวงหนูที่ชอบยกกองทัพมาตีเมืองหน้าด่านทางเหนือเป็นประจำ จึงทรงขับไล่ชนเผ่านี้โดยยกทัพไปถึงสามครั้ง ไล่ต้อนให้ถอยร่นขึ้นไปถึงตอนเหนือของมองโกเลีย ทำให้ชาวจีนฮั่นปลอดภัยจากการถูกรุกรานของพวกชนเผ่าซวงหนูเป็นเวลานาน การจัดกองทัพครั้งนั้น ฮ่องเต้ฮั่นอู่ตี้โปรดฯให้จงหลี่เชวียนเป็นแม่ทัพ เขาจึงจัดเตรียมกองทัพแล้วยกออกจากเมืองหลวงฉางอานถึงเมืองกิโจว ขายแดนชนกับกองทัพของชนเผ่าซวงหนู เกิดการปะทะกันสองครั้ง พวกทหารรี้พลล้มตายลงเป็นจำนวนมากทั้งสองฝ่าย แต่จงหลี่เชวียนเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะทั้งสองครั้ง
ฝ่ายหลี่ทิก้วยขี่เมฆผ่านมาทางนั้นได้กลิ่นซากศพลอยฟุ้งขึ้นไปบนอากาศ จึงมองลงไปในสนามรบเห็นแม่ทัพราชวงศ์ฮั่นกำลังขับไพร่พลเข้าฆ่าฟันพวกทหารเผ่าซวงหนูตายเกลื่อน จึงรำลึกถึงคำสอนของหลี่หลิวกุนอาจารย์ใหญ่ว่า ศพเป็นหมื่นที่ทับถมกองกันอยู่ที่เมืองกิโจวนั้น เป็นด้วยเซียนบรรณารักษ์ห้องสมุดแห่งสวรรค์ ได้กระทำความผิดจึงถูกลงโทษให้ลงมาเกิดในโลกมนุษย์ชื่อ จงหลี่เชวียน เป็นแม่ทัพฮั่นกำลังสู้รบกันอยู่ จงหลี่มีความผิดเล็กน้อยไม่ถึงกับต้องเวียนว่ายตายเกิด ก็คงจะมีเซียนองค์ใดองค์หนึ่งมาช่วยให้พ้นเวรกรรมเป็นเซียน จะได้กลับไปเป็นบรรณารักษ์เพื่อดูแลห้องสมุดบนสวรรค์ตามเดิม หลี่ทิก้วยรำพึงว่า “แม่ทัพนั้นเป็นของคนอื่นต่างหาก จงหลี่ไม่ใช่คนสามัญ ไม่ควรลุ่มหลงมัวเมาอยู่ในลาภยศ เที่ยวรบราฆ่าฟันก่อเวรสร้างกรรมดุจดินพอกหางหมู จงหลี่จะได้เป็นเซียนในชาตินี้ ถ้าเราไม่ช่วยก็จะต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกช้านาน จึงจะได้สำเร็จเป็นเซียน”
เมื่อคิดดังนั้นแล้ว จึงแปลงลงมาเป็นคนแก่ข้างกองทัพซวงหนุ จึงแจ้งทหารขอเข้าพบนายพลปุดฮู้ แล้วช่วยวางแผนการเอาชนะนายพลจงหลี่ให้จงได้ โดยแนะนำให้เข้าปล้นค่ายในขณะที่กองทัพของนายพลจงหลี่กำลังสนุกรื่นเริงกับการกินเลี้ยงที่ได้รับชัยชนะถึงสองครั้ง เมื่อได้เวลาจึงยกพลเข้าปล้นค่ายตีกองทัพจงหลี่แตกกระจายไปเพราะความประมาท ตัวจงหลี่เองต้องหนีระหกระเหินเข้าป่าดงข้ามภูเขาไปเพียงคนเดียว พบอาจารย์ไต้ซือ ชื่อ ตงฮั้วจิ้นหยิน ท่านพาเข้าไปในบ้านพักเลี้ยงอาหารแล้วกล่าวว่า “ลาภยศทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่ไม่เที่ยง ดุจเมฆเลื่อนลอยไปมา การสงครามร้ายแรงมีแต่การรบราฆ่าฟันก่อกรรมสร้างเวรไม่รู้จักจบสิ้น ขอท่านจงคิดดู ตั้งแต่โบราณมาจนบัดนี้ บ้านเมืองก็ไม่ใช่ของกษัตริย์พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ลาภยศก็ไม่ใช่ของบุคคลสกุลเดียว ในไม่ช้าก็ต้องเปลี่ยนไปเป็นของคนอื่น ไม่ต่างอะไรกับการนอนหลับฝันไปตื่นหนึ่ง” ทำให้จงหลี่ได้คิดใคร่ครวญตามคำพูดของไต้ซือว่าเป็นจริงทุกอย่าง ไม่ควรที่เราจะหมกมุ่นลุ่มหลงอยู่ต่อไป
ครั้นรุ่งเช้าจงหลี่จึงขอเป็นศิษย์รับคำสั่งสอนจากไต้ซือบำเพ็ญเพียรเรียนเวทมนตร์ พร้อมรับของวิเศษชิ้นหนึ่งคือ มีดกั้นหยั่น แล้วกราบลาอาจารย์เดินทางไปยังเมืองฮันตงที่บ้านตน เมื่อกลับเข้าไปถึงบ้านปรากฏว่าทุกข์คนแต่งกายไว้ทุกข์เพราะทราบข่าวว่าตนได้ตายในการสงครามครั้งนี้แล้ว จงหลี่คิดว่า ตนแพ้สงครามหลบหนีกองทัพในฐานะที่เป็นแม่ทัพต้องถูกประหารชีวิตสถานเดียวตามกฎอัยการศึก จึงให้ครอบครัวปิดเป็นความลับแล้วปรึกษากับพี่ชายจงหลี่ก้วง เพื่อออกธุดงค์บำเพ็ญพรต พี่ชายก็เห็นด้วยต่างลาครอบครัวเป็นนักบวชไต้ซือแล้วออกเดินทางเข้าป่าแสวงหาความวิเวก เมื่อเดินทางไปถึงตำบลหนึ่งได้ช่วยเหลือชาวบ้านด้วยการปราบเสือกินคนด้วยมีดกั้นหยั่นกายสิทธิ์เล่มนั้น เมื่อเดินทางถึงป่ายอดเขาแห่งหนึ่งพิจารณาเห็นภูมิฐานเหมาะที่จะตั้งสำนักบำเพ็ญพรต จึงได้ก่อสร้างอาคารโรงเจขึ้น เมื่อจงหลี่ก้วงออกเดินทางเข้าไปในตำบลบ้าน เห็นผู้คนยากจนแสนเข็ญ จึงปรึกษากับจงหลี่เชวียนให้ความช่วยเหลือ จงหลี่เชวียนจึงใช้มนตร์เสกเป็นทองเอาไปช่วยคนยากจน
วันหนึ่งในขณะที่ทั้งสองพี่น้องนั่งสมาธิเข้าฌาณ ก็ได้ยินเสียงดนตรีอันไพเราะล่องลอยมาจากสวรรค์ แล้วปรากฏเป็นเซียนหลี่ทิก้วยเข้ามาทักทาย ต่างคารวะกันแล้วหลี่ทิก้วยกล่าวว่า ไท่ซังเล่าจุนเจ้าสำนักเซียนให้มารับไปเข้าเฝ้า ทั้งสองจึงขี่เมฆไปถึงเขาหัวซานเข้าเฝ้าไท่ซังเล่าจุน และได้รับแต่งตั้งให้เป็นเซียนจงหลี่เชวียน เป็นองค์ที่ ๒ ในคณะแปดเซียน ได้รับฉายาว่า หยุนฝาง ท่านได้รับคำสั่งจากองค์อวี้หวงซั่งตี้หรือเง็กเซียนฮ่องเต้เพื่อปฏิบัติหน้าที่เป็นเทพเจ้าฝ่ายซ้ายของหอสวรรค์อันสูงสุด ต่อมาเมื่อจงหลี่เชวียนเข้าฌาณเห็นว่าจงหลี่ก้วงมีญาณตะบะชั้นสูงถึงขั้นเซียนแล้ว จึงขี่เมฆมารับไปอยู่ยังสำนักเดียวกัน
กล่าวกันว่าในช่วงที่จงหลี่เชวียนสอนลัทธิเต๋า ท่านมักจะมัดมวยผมเป็นสองปอย ถือพัดขนนกอันใหญ่ นั่งพุงพลุ้ย เป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นผู้วิเศษที่มีความอิสระ น่าเคารพนับถือ
จงหลี่เชวียนเป็นเซียนแห่งโชคลาภ การบริการกิจการและการปกครอง
ลื่อทงบิน
หลี่ตงปินถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ เวลา ๑๑.๐๐ นาฬิกา พ.ศ. ๑๓๔๑ ในปีเจินเอวี๋ยนที่ ๑๔ รัชสมัยฮ่องเต้ถังเต๋อจง ( หลี่ซื่อ ) ครองราชย์ พ.ศ. ๑๓๒๓ – ๑๓๔๘ บิดาชื่อ หลี่อี่ เป็นเจ้าเมืองไห่โจว เป็นหลานของหลี่อุย ปลัดกรมราชประเพณีราชสำนักถัง หลี่ตงปิน รูปร่างลักษณะเป็นคนกระหม่อมสูง หูยาว คิ้วยาว ตายาวเหมือนตาหงส์ มีไฝดำที่คิ้วซ้าย จมูกใหญ่กลม แก้มเป็นพวง ปากกว้าง คอยาวระหง สูงแปดฟุตกับสองนิ้ว มีความจำเป็นเลิศ เฉลียวฉลาด เป็นจินตกวี ตอนที่ถือกำเนิดกล่าวกันว่า มีนกกระเรียนเผือกบินหายเข้าไปในห้องฮูหยิน คือ ตงหัวจินหยินมาเกิด หลี่ตงปินอายุได้ห้าขวบ หม่าโจ้วผู้วิเศษได้ทำนายว่า เด็กคนนี้เป็นมนุษย์พิเศษ ต่อเมื่อได้ไปถึงตำบลหลี่และพบคนสกุลจงหลี่ จึงจะได้เป็นเซียน ข้างหลี่ตงปินเมื่อเป็นจินตกวีก็ได้แต่เสพสุรา แต่งกลอนเอาอย่างกวีสมัยฮ่องเต้หมิงจง ( หลี่ซื่อหมิน )
เมื่อหลี่ตงปินเดินทางไปตำบลหลี่ได้พบกับฮวยหลงจินหยิน จึงฝากตัวเป็นศิษย์เรียนเวทมนตร์สามเดือนก็จบ อาจารย์สอนว่า เวทมนตร์ที่สอนให้นั้นเอาไว้ป้องกันตัวเผื่อมีภัยจนตรอก อย่าเอาไปทดลองความขลัง ถ้าหากพบคนที่มีความทุกข์ยากสาหัสสมควรช่วยเหลือก็จงช่วยเขา หากเห็นว่าไม่สมควรก็ให้วางเฉยเสีย หลี่ตงปินจึงลาอาจารย์กลับไป เมื่อเดินทางมาถึงเมืองไหวเชียงแถบแม่น้ำไหว ชาวบ้านกำลังเดือดร้อนด้วยตัวมังกรยักษ์กำลังแผลงฤทธ์ในน้ำใกล้จวนนายอำเภอ ทำให้เกิดลมน้ำกระฉอกสูงเรือที่สัญจรไปมาได้รีบความเสียหาย ผู้คนต่างพากันเกรงกลัวมังกร และผู้คนยังได้โจทย์ขานกันว่ามังกรแปลงเป็นคนหนุ่มหล่อหลอกลวงหญิงสาวเอาไปกิน ไม่มีใครปราบได้ นายอำเภอจึงประกาศว่าหากใครปราบได้จะได้รับรางวัลอย่างงาม หลี่ตงปินจึงไปอาสาปราบมังกรยักษ์ ด้วยการเสกมีดกั้นหยั่นวิเศษขว้างลงไปในแม่น้ำฆ่ามังกรยักษ์ตาย ชาวบ้านต่างสรรเสริญแล้ววาดรูปหลี่ตงปินไว้บูชา
ต่อมาหลี่ตงปินเดินทางไปเมืองเย่เอี๋ยง ด้วยการปลอมเป็นพ่อค้าขายน้ำมัน ถ้าใครซื้อน้ำมันแล้วไม่ขอแถมก็จะอุปถัมภ์คนนั้น ปรากฏว่าขายไปเป็นปีมีคนขอแถมทั้งสิ้น จนวันหนึ่งมียายแก่คนหนึ่งเอาเปลือกไข่มาซื้อน้ำมันและไม่ขอแถม เขาจึงอุปถัมภ์ครอบครัวนี้ด้วยการเสกน้ำในบ่อให้เป็นสุราเอาไว้ขาย
วันหนึ่งหลี่ตงปินเข้าไปเสพสุราโรงเตี๊ยมของนางซินซื่อทุกวันโดยไม่จ่ายเงิน นางก็ไม่ว่าอะไร เพราะสังเกตเห็นว่าหลี่ตงปินมิใช่คนธรรมดา บ่ายวันหนึ่งหลี่ตงปินบอกให้นางหาเปลือกส้มมาให้เขา แล้วจัดการเอาเปลือกส้มมาเสกวาดรูปนกกระเรียนบนฝาผนังในร้าน เมื่อมีคนมาเสพสุราขอให้เรียกนกออกมาร่ายระบำ เมื่อมีคนมาเข้าร้านนางจึงทดลองเรียกดู ปรากฏว่านกกระเรียนออกมาจากผนังเต้นระบำเป็นที่ชอบอกชอบใจของแขกที่เข้าร้าน แล้วนกก็กลับเข้าไปสถิตในรูปตามเดิม
ครั้นกลับมาถึงบ้าน หลี่ตงปินคิดอยากจะเป็นขุนนาง ด้วยเห็นว่าบรรดาเพื่อนฝูงต่างก็เป็นขุนนางกันทั้งนั้น จึงเข้าไปเมืองหลวงฉางอานสอบไล่ได้ตำแหน่ง จิ้นสือ ซึ่งขณะนั้นอายุได้ห้าสิบปีเศษแล้ว วันหนึ่งขณะที่เสพสุราในร้านแห่งหนึ่งในเมืองฉางอาน ได้พบฮั่นจงหลี่เขียนคำโคลงสามบทบนฝาผนัง ต่างได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและชวนกันไปที่พัก ฮั่นจงหลี่กำลังหุงข้าวอยู่นั้น หลี่ตงปินหลับฝันไปว่าสอบได้จอหงวนมีภรรยาสองคน ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี จนมีเรื่องต้องถูกถอดยศตำแหน่งถูกริบทรัพย์ บุตรภรรยาหายไปสิ้น ตนถูกเนรเทศไปอยู่ชายแดนทุรกันดารได้รับความลำบากก็ตกใจตื่น ข้างฮั่นจงหลี่จึงเปรยขึ้นว่าตนหุงข้าวยังไม่ทันสุก ฝันเสียเป็นเรื่องเป็นราวสุขทุกข์ปะปนกันไป แล้วจึงพูดว่า “การเป็นไปในโลก แม้ประสบแต่ความสุขก็ไม่น่ายินดี หากประสบความทุกข์ก้ไม่น่าเสียใจ”
เมื่อหลี่ตงปินกลับถึงบ้านก็หมดอาลัยไม่อยากทำราชการอีกต่อไป ฝ่ายฮั่นจงหลี่เข้าฌานเห็นหลี่ตงปินดังนั้น จึงเหาะมาที่เมืองไห่โจว เพื่อทรมานหลี่ตงปินด้วยปาฏิหาริย์ ๑๐ ประการ คือ ครั้งแรก บันดาลให้คนในบ้านเป็นไข้
ทรพิษตายหมดทั้งบ้าน หลี่ตงปินเห็นว่าพวกเขาหมดอายุแค่นั้น จึงเอาไปจะฝัง แต่ทุกคนก็ฟื้นขึ้นมา ครั้งที่ ๒ หลี่ตงปินคุมพืชผักไปขายที่ตลาด คนซื้อได้ตกลงราคาเรียบร้อย แต่เวลาจ่ายเงินกลับจ่ายเพียงครึ่งเดียว เขาก็ไม่ว่าอะไร ครั้งที่ ๓ วันตรุษจีน หลังจากไปอวยพรบ้านญาติกลับถึงบ้าน เห็นขอทานยืนอยู่ที่ประตู จึงเข้าไปในบ้านเอาอาหารเสื้อผ้ามาให้ แต่ขอทานไม่พอใจแถมด่าว่าคนให้อีก แต่หลี่ตงปินก็ไม่โกรธ ครั้งที่ ๔ เขาเดินทางเที่ยวไปในป่าเห็นเสือกำลังจะกัดแพะ จึงวิ่งเข้าไปขวาง เสือกลับวิ่งหนี ครั้งที่ ๕ เขากำลังอ่านหนังสืออยู่ที่กระท่อมใกล้ทางเดิน มีหญิงสาวสวยงามอายุ ๑๗ – ๑๘ ปี บอกว่ากลับจากเยี่ยมญาติ จะกลับบ้านสามีตอนนี้ก็มืดค่ำแล้ว ขอพักที่นี่สักคืน นางยั่วยวนเขาถึงสามคืนก็ไม่บังเกิดผลจึงจากไป ครั้งที่ ๖ เขาไม่อยู่ พวกโจรเข้าบ้านขโมยเข้าของเกือบหมด เขากลับมาเห็นก็ไม่เสียใจ ครั้งที่ ๗ เขาซื้อเครื่องทองเหลืองจากคนหาบของขาย เมื่อเอามาถึงบ้านปรากฏว่าของชิ้นนั้นเป็นทองคำ จึงสืบหาคนขายแล้วเอาไปคืนเจ้าของ ครั้งที่ ๘ เขาพบไต้ซือขายยาตามตลาดบอกว่า ใครซื้อยานี้กินเข้าตายแน่นอน เขาซื้อยาไปกิน ปรากฏว่าแข็งแรงดี ครั้งที่ ๙ เกิดวาตภัย น้ำท่วมบ้านเรือน เขาก็ไม่วิตกทุกข์ร้อน ครั้งที่ ๑๐ เห็นยักษ์หลายตนคุมนักโทษเข้ามาทวงชีวิตเขา เพื่อชดใช้กรรมในชาติก่อน หลี่ตงปินจึงเข้าไปหยิบมีดจะเชือดคอของตน ทันใดนั้นทุกอย่างก็หายไป กลับมีอาจารย์ฮั่นจงหลี่ปรากฏ แล้วชวนกันไปภูเขาสำนักฮั่นจงหลี่ หลี่ตงปินได้ถามถึงเซียนระดับต่างๆ ฮั่นจงหลี่ตอบว่า การบำเพ็ญเพียรของเซียน ในหนึ่งวัน เท่ากับ หนึ่งปี ของโลกมนุษย์
การสำเร็จเป็นเซียนมีขั้นสูงและขั้นต่ำ แล้วแต่ขั้นญาณของแต่ละบุคคล เมื่อได้ขั้นใดก็เป็นเซียนชั้นนั้น ดังนี้
ชั้นที่ ๑ เซียนปีศาจ คือ พวกปีศาจทั้งหลายที่ตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญเพียรเป็นเวลานาน จนสำเร็จเป็นเซียน
ชั้นที่ ๒ เซียนมนุษย์ คือ พวกมนุษย์ที่บำเพ็ญญาณจนสำเร็จเป็นเซียน
ชั้นที่ ๓ เซียนปฐพี คือ มนุษย์ที่สำเร็จญาณชั้นสูง มีอายุยืนยาว ไม่ป่วยไข้ ไม่แก่เฒ่า
ชั้นที่ ๔ เซียนเทพารักษ์ คือ เซียนปฐพี ที่สำเร็จญาณในหน้าที่ จนมีแต่วิญญาณ ไม่มีรูปร่าง
ชั้นที่ ๕ เซียนสวรรค์ เป็นเซียนชั้นสูงสุด ได้แก่ เซียนปีศาจ เซียนมนุษย์ เซียนปฐพี เซียนเทพารักษ์ ที่สามารถสำเร็จญาณชั้นสูงสุด แล้วจะเป็นเซียนสวรรค์
หลี่ตงปินท่องเที่ยวไปยังเมืองฉางอาน พบนางโบตั๋น เป็นนางบำเรอ หลี่ตงปินจึงแปลงกายเป็นหนุ่มน้อยเสพสุขกับนางหลายวัน เกิดเกรงใจอาจารย์กลัวอาจารย์จะว่ายังลุ่มหลงเมามัวในกามจึงลานางไป ข้างอาจารย์แปลงร่างลงมาบอกความลับให้นางโบตั๋น เมื่อเขาย้อนกลับมาหานางอีกเสพสังวาสกับนาง นางจึงจี้รักแร้ หลี่ตงปินจึงหมดกำลัง นางจึงรู้ความจริง จากนั้นหลี่ตงปินย้อนกลับที่โรงเตี๊ยมของนางซินซื่อ ที่เสกนกกระเรียนกายสิทธิ์ให้เรียกลูกค้าจนนางมีฐานะร่ำรวย ซึ่งเขาได้ชดใช้ค่าค้างจ่ายเสพสุราอาหารเมื่อครั้งก่อนจนหมดแล้ว จึงเรียกนกกระเรียนออกมาขี่ไปถึงทะเลสาบท่งเถง พบเซียนและอาจารย์ต่างชวนกันไปเฝ้าไท่ซังเล่าจุนอาจารย์ใหญ่ที่เขาหัวซาน เพื่อรับการแต่งตั้งหลี่ตงปินเป็นเซียนองค์ที่๓
หลี่ตงปินเป็นเซียนแห่งธุรกิจการค้าอุตสาหกรรม ปัญญาชน จินตกวี
เจียงกั๋วเล้า เซียนแห่งความมั่นคง อายุยืน สุขภาพดี
จางกั๋วเล่ามีชีวิตอยู่ในสมัยราชวงศ์ถัง เป็นคนแซ่จาง ชื่อตัวว่า กั๋ว ท่านกล่าวเองว่า ท่านถือกำเนิดในสมัย พระเจ้าตี้เหยา ประมาณก่อน พ.ศ. ๒๘๙๐ ถึง ๒๗๙๘ (ซึ่งเป็นหนึ่งในอู่ตี้หรือห้ามหาราชันย์ ) กล่าวกันว่าท่านถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๒๓ ค่ำ เดือน ๑๑ ตามจันทรคติจีน จากตำนานประวัติของจางกั๋วเล่า กล่าวไว้ว่า มีค้างคาวเผือกตัวหนึ่งเสพแต่แสงอาทิตย์และแสงจันทร์อยู่เป็นพันปี จนกลายเป็นเซียนสามารถแปลงร่างเป็นผู้เฒ่าคนหนึ่งอาศัยอยู่แถบภูเขาตงจาง แขวงเมืองเหิงโจว ผู้คนต่างเรียกท่านว่า จางกั๋วเล่า ท่านก็ยินดี เพราะ แปลว่า ผู้ชนะความแก่ จางกั๋วเล่ามีลาเผือกตัวหนึ่งเป็นพาหนะ จะไปที่ไหนก็ขี่ลาไป เมื่อถึงปลายทางก็เอาลามาพับเก็บเหมือนรูปลากระดาษ วิธีการขี่ลาก็ประหลาดคือ ขี่กลับหน้ากลับหลัง ผู้คนต่างกล่าวว่าจางกั๋วเล่าไม่แก่ไม่เฒ่าท่านได้อาศัยอยู่ที่ภูเขาจงเทียวหลายปี และมีผู้พบเห็นท่านที่ภูเขาใกล้เมืองเหิงโจวอีกด้วย
ในรัชสมัยฮ่องเต้ถังไท่จง ( หลี่ซื่อหมิน ) แห่งราชวงศ์ถัง ทรงครองราชย์ พ.ศ. ๑๑๗๐ – ๑๑๙๒ ทรงมีรับสั่งให้ข้าหลวงไปตามจางกั๋วเล่าเข้าเฝ้าหลายครั้ง แต่ก็ไม่สมพระราชประสงค์ ด้วยท่านไม่อยากเฝ้าแหน เช่นเมื่อข้าหลวงไปเชิญท่าน ท่านก็แสดงอาการป่วยชักระตุกกระทันหันตายทันที พวกข้าหลวงก็ศพท่านไปฝัง
ถึงรัชสมัยพระนางอู่เจ๋อเทียน ( บูเช็กเทียน ) ทรงครองราชย์สมบัติระหว่าง พ.ศ. ๑๒๒๗ – ๑๒๔๘ ทรงมีพระราชเสาวนีย์ให้ไปตามจางกั๋วเล่ามาเฝ้า ข้าหลวงจึงไปเชิญมาพอถึงศาลเจ้าโกวหนึง ท่านก็ล้มลงชักตายทันใด ช่วงนั้นเป็นฤดูร้อน ปรากฏว่า ศพขึ้นอืดเร็วกว่าปกติมีหนอนแมลงวันเต็มไปหมด ข้าหลวงจึงรีบนำเอาไปฝัง แล้วรีบเข้าเมืองหลวงฉางอานเพื่อกราบบังคมทูลให้ทรงทราบตามที่ได้พบเห็น แต่ในไม่ช้ามีคนเห็นจางกั๋วเล่าเดินอยู่แถบชายป่า
รัชสมัยฮ่องเต้ถังเสวียนจง ( หลี่หลงจี ) ทรงครองราชย์ พ.ศ. ๑๒๕๕ – ๑๒๙๙ ในปีไคหยวน ( พ.ศ. ๑๒๕๖ – ๑๒๘๔ ) ทรงมีรับสั่งให้ข้าหลวงชื่อ
ปวยหวาไปเชิญกั๋วเล่าให้มาเฝ้า เมื่อข้าหลวงไปถึงเมืองเหิงโจว พบกั๋วเล่ากำลังชักดิ้นชักงอสิ้นลมทันใด ข้าหลวงจึงจัดการเอาศพใส่โลงแล้วอ่านหนังสือรับสั่ง กั๋วเล่าค่อยๆฟื้นขึ้นแต่ไม่สามารถจะไปเข้าเฝ้ากับพวกข้าหลวงได้ พวกข้าหลวงจึงกลับไปกราบทูลให้ทรงทราบ
ต่อมาฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้ขุนนางสองคนคือ ซื่ออวี้กับหลูตง ให้ไปเชิญกั๋วเล่ามาเข้าเฝ้าอีก จางกั๋วเล่าเห็นว่าฮ่องเต้ได้ไปเชิญหลายครั้งแล้ว แสดงว่าทรงมีความเชื่อถือตนจริง จึงได้เดินทางเข้าเมืองฉางอาน โปรดฯให้จางกั๋วเล่าพักที่อาคารที่พักของพวกปุโรหิต ในขณะที่พวกขุนนางเฝ้าแหน ทรงมีรับสั่งถึงเรื่องเซียน แต่จางกั๋วเล่าก็นิ่งเสีย
เมื่อถึงฤดูหนาว จางกั๋วเล่าได้รับพระราชทานสุราเสพจนมึนเมา จนเห็นไปว่าไม่ใช่สุราอย่างดีจึงทำให้ฟันเปราะ ท่านจึงให้คนใช้ไปหยิบยู่อี่สำหรับถือเข้าเฝ้าประจำตำแหน่งมาฝนกับยาแล้วเอาถูฟัน จนฟันขาวดุจหยกดังเดิม
วันหนึ่งเสด็จประพาสป่าล่าสัตว์ ได้กวางมาตัวหนึ่ง จึงโปรดฯให้พนักงานห้องเครื่องจัดการเอากวางไปทำอาหารมาเสวยและพระราชทานเลี้ยงผู้ติดตาม จางกั๋วเล่าซึ่งเข้าเฝ้าอยู่ในที่นั้นด้วย จึงกราบทูลว่า กวางตัวนี้เป็นพาหนะของเซียนอายุยืนเป็นพันปี ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น คือ ฮ่องเต้ฮั่นอู่ตี้ ( หลิวเฉ่อ ) ซึ่งครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๔๐๓ – ๔๖๖ ได้เสด็จประพาสป่าล่าสัตว์ เมื่อ พ.ศ. ๔๒๘ พวกบริพารจับได้กวางตัวนี้ พระองค์โปรดฯให้ปล่อยเสีย ด้วยทรงเมตตา ซึ่งเป็นพระคุณแก่กวางและเซียนผู้เป็นเจ้าของยิ่งนัก พระองค์จึงตรัสว่าตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นมาถึงขณะนี้ก็เป็นเวลาช้านาน ประมาณว่ากว่า ๗๐๐ ปีแล้ว และได้มีการเปลี่ยนแปลงราชวงศ์หลายครั้ง จางกั๋วเล่ามีหลักฐานอะไรจึงพูดเช่นนั้น กั๋วเล่าจึ่งว่า กวางตัวนั้นมีป้ายทองเหลืองแขวนอยู่ที่เขาอันหนึ่ง เมื่อพวกตามเสด็จตรวจดูปรากฏว่ามีจริง แต่ตัวอักษรได้ลบเลอะเลือนอ่านไม่ออก จึงโปรดฯให้ปล่อยกวางตัวนั้นไป แล้วจึงตรัสถามจางกั๋วเล่าว่า ปีนั้นเป็นปีใด จางกั๋วเล่าจึงกราบทูลถึงวันเดือนปีว่านับแต่นั้นมาได้ ๘๕๒ ปีแล้ว จึงรับสั่งให้โหรหลวงตรวจดู ปรากฏว่าตรงกัน ตั้งแต่นั้นมาฮ่องเต้เสวียนจงทรงเชื่อถือจางกั๋วเล่ามาก
ยังมีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ เอวียนหัวเซียน ชอบปฏิบัติธรรมเคร่งครัดเป็นไต้ซือถือบวชกินเจ ได้ศึกษาเล่าเรียนเวทมนตร์จากเซียนสององค์จนชำนาญ เมื่อราษฎรได้รับความเดือดร้อนเกี่ยวกับภูตผีปีศาจ จึงอาสาไปปราบพวกภูตผีปีศาจเหล่านั้นจนไม่กล้ามารบกวนอีก จนทราบถึงพระกรรณ ฮ่องเต้จึงโปรดฯให้รับราชการที่เมืองหลวง เขาปฏิเสธแต่ขอพักอยู่ในเมืองหลวงฉางอาน ขณะนั้นจางกั๋วเล่าเฝ้าอยู่หน้าพระที่นั่งด้วย จึงตรัสถามเอวียนหัวเซียนว่า จางกั๋วเล่าเป็นคนหรือเป็นเซียน เอวียนหัวเซียนจึงกราบทูลว่าหากตนพูดความจริงออกไป ร่างกายของตนก็จะบังเกิดบิดเบี้ยวน่าขยะแขยงเจ็บปวดทรมานมาก จนกว่าพระองค์จะเสด็จไปหาจางกั๋วเล่าโดยจะต้องทรงถอดมงกุฎและฉลองพระบาทออกก่อนแล้วทรงขอโทษจางกั๋วเล่า ตนจึงจะหายเป็นปกติ พระองค์ก็ตกปากรับคำตามที่ขอ เอวียนหัวเซียนจึงเริ่มเล่าว่า สมัยโบราณหลายพันปีมาแล้วมีค้างคาวเผือกตัวหนึ่งเสพแต่แสงอาทิตย์แสงจันทร์ จนสามารถแปลงกายมาเป็นมนุษย์ได้ คือจางกั๋วเล่า เท่านั้นแหละเขาก็ล้มลงตึงชักกระตุกเลือดไหลออกมาตามทวารต่างๆ เมื่อเห็นดังนั้นพระองค์จึงทรงรีบถอดมงกฎออกพร้อมทรงถอดฉลองพระบาทเสด็จเข้าไปหาจางกั๋วเล่า พร้อมทรงขอโทษแทนเอวียนหัวเซียน จางกั๋วเล่าจึงเสกเวทมนตร์เป่าไปที่ร่างของเอวียนหัวเซียน จนกลับคืนเป็นปกติ ตั้งแต่นั้นมาพระองค์ทรงโปรดฯจางกั๋วเล่ามาก ทรงตั้งให้เป็น เต้าหยินซงเหียนผู้ยิ่งใหญ่ และโปรดฯให้จิตรกรหลวงวาดภาพจางกั๋วเล่าประดับไว้ที่ จิบเฮียนอี้ และในปีไคหยวนที่ ๒๓ พ.ศ. ๑๒๗๘ ฮ่องเต้ถังเสวียนจง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้จางกั๋วเล่าดำรงตำแหน่ง ขุนนางอาวุโสผู้ถือตราประทับเงินและริบบิ้นสีน้ำเงินรับผิดชอบสภาขุนนางของฮ่องเต้
ต่อมาจางกั๋วเล่าถวายบังคมลากลับไปยังเมืองเหิงโจว ในปี พ.ศ. ๑๒๘๕ ทรงมีรับสั่งให้จางกั๋วเล่าเข้าเฝ้า พวกข้าหลวงจึงเดินทางไปยังที่พักของท่านที่เมืองเหิงโจว แต่บังเอิญในขณะนั้นท่านป่วยหนักและถึงแก่อสัญกรรมอย่างกระทันหัน พวกข้าหลวงจึงจัดการนำศพใส่โลงเอาไปฝัง ก่อนฝังต่างสงสัยกันว่าทำไมโลงถึงเบากว่าปกติ จึงเปิดฝาโลงออกดู ปรากฏว่ามีแต่โลงเปล่า คณะเซียนได้มารับจางกั๋วเล่าไปเข้าเฝ้าไท่ซังเล่าจุนที่เขาหัวซาน และได้รับแต่งตั้งเป็นเซียนจางกั๋วเล่าองค์ที่ ๔
จางกั๋วเล่าเป็นเซียนแห่งความมั่นคง ความมีอายุยืน สุขภาพดี จิตรกร
น่าใช้หัว เซียนแห่งมวลบุปผาชาติ ความอุดมสมบูรณ์
ประวัติของท่านแทบจะไม่มีรายละเอียดอะไรเลย ตามตำนานลัทธิเต๋า ถือเอา วันที่ ๒๕ ค่ำ เดือน ๖ ตามจันทรคติจีน เป็นวันกำเนิด เมื่อพิเคราะห์ดูจากคำกล่าวของท่านผู้เฒ่าและของเหอเซียนกู่แล้ว หลันไช่เหอน่าจะถือกำเนิดระหว่าง พ.ศ. ๑๑๖๑ - ๑๑๗๕ เป็นสมัยราชวงศ์ถังตอนต้น เมื่อท่านอายุได้ ๑๔ ปี ได้รับประทานผลไม้วิเศษเข้าไป จึงทำให้หน้าตาผิวพรรณ คงอยู่แบบนั้นตลอดกาล แม้แต่ลักษณะที่บ่งบอกว่าเป็นเพศหญิงหรือชายก็ไม่ปรากฏชัดเจน แต่ตามลัทธิเต๋าถือว่าเป็นเพศชาย
หลันไช่เหอสวมกางเกงสีน้ำเงินขาดกะรุ่งกะริ่ง มีผ้ารัดเอวสีดำ รองเท้าก็มีข้างเดียว ชอบถือตะกร้าใส่ดอกไม้หรือผลไม้ มีกรับยาวถึงสามฟุตเศษ ท่องเที่ยวไปเรื่อยๆเป็น วณิพก คือ ร้องรำทำเพลงตามที่สาธารณะ คนผ่านไปมาฟังเพลงและดูการตีกรับ เพลงที่ร้องดีกว่าของคนอื่นๆตรงที่เป็นสุภาษิต บางตำนานว่าท่านเป่าขลุ่ยด้วย เมื่อได้เงินมาสักกี่อีแปะก็เอาไปซื้อสุรามาเสพ แล้วร้องรำทำเพลงต่อไป บางครั้งเงินที่ได้มาจะเอามาร้อยเป็นพวง แล้ววิ่งไปตามถนน เงินจะตกหล่นอย่างไรไม่นำพา นอกจากการเป็นวณิพกแล้ว หลันไช่เหอยังขายยาสมุนไพรอีกด้วย
เมื่อถึงหน้าฤดูร้อน หลันไช่เหอจะใส่เสื้อหนาเป็นเสื้อชั้นใน แดดร้อนอย่างไรก็ไม่มีเหงื่อออกมา ในช่วงฤดูหนาวมีหิมะโปรยปราย ไช่เหอจะใส่เพียงเสื้อชั้นเดียว แต่เวลาพูดจะมีไออกมาเหมือนน้ำร้อน
วันหนึ่ง หลันไช่เหอดึ่มสุราแล้วร้องรำทำเพลงไปตามถนน มีคนดูเป็นจำนวนมาก ในจำนวนนั้นมีท่านผู้เฒ่าคนหนึ่ง กล่าวว่า เมื่อตนยังเป็นเด็กอยู่ เห็นหลันไช่เหอ และต่อๆมาก็พบปะเขาเสมอ แต่หน้าตารูปร่างของหลันไช่เหอ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เป็นแบบนั้นมาตลอด จนบัดนี้ตนแก่เฒ่า ผมและหนวดเคราขาวหมดแล้ว แต่ร่างกายของหลันไช่เหอยังเหมือนเดิมทุกส่วน เสื้อผ้าสีน้ำเงินที่ขาดกะรุ่งกะริ่ง รองเท้าที่ใส่ข้างเดียวก็ยังเหมือนเดิม ดูเหมือนจะเป็นชุดที่ใส่แต่ครั้งกระโน้น
ครั้นต่อมา หลันไช่เหอได้ไปที่ตำบลแห่งหนึ่ง ได้พบกับหลี่ทิก้วย เซียนอีกองค์หนึ่ง ท่านทั้งสองได้สนทนากัน ตามประสาเซียน
อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่หลันไช่เหอนั่งเสพสุราอยู่ที่บนสะพานข้ามคูเมือง ได้ยินเสียงดีดสีตีเป่ามาจากบนสวรรค์ อย่างไพเราะจับใจ ผู้คนที่เดินทางไปมาต่างหยุดฟังเสียงดนตรีด้วยความฉงนกันแทบทุกคน หลันไช่เหอโยนกรับขึ้นไปบนท้องฟ้า ทันใดนั้นกรับคู่นั้นกลายเป็นนกกระเรียนบินลงมายืนต่อหน้าเขา หลันไช่เหอขึ้นขี่นกกระเรียนเหาะขึ้นสวรรค์ไปทันที เมื่อคนเข้าไปในโรงเตี๊ยมที่หลันไช่เหอเป็นขาประจำ ต่างก็เห็นเสื้อผ้าชุดเดิมกองอยู่ ในไม่ช้าของกองนั้นก็กลับกลายเป็นหยกหายไปจนหมดสิ้น หลันไช่เหอได้สำเร็จเป็นเซียน เข้าคณะแปดเซียน หรือโป๊ยเซียน เป็นองค์ที่ห้า
รัชสมัยสมเด็จพระนางอู่เจ๋อเทียน (บูเช็กเทียน ) แห่งราชวงศ์ถัง พ.ศ. ๑๒๓๓ - ๑๒๔๘ มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ เซียงหรือเหอซื่อ เป็นบุตรสาวของ เหอซู อยู่ตำบลหนินหลิง อำเภอหยงหรือจงเซี่ย แขวงกว่างตง นางฝันว่า มีเทพมาบอกให้กินแป้งไมคา( ฮุนบ้อ ) จะทำให้ร่างกายเบา และไม่ตาย นางจึงกิน และทำให้ร่างกายเบาจริง นางจึงถือศีลกินเจเสมอมา
อยู่มาวันหนึ่ง หลี่ทิก้วย กับ หลันไช่เหอ พบกับเหอเซียง ที่ฝั่งแม่น้ำตำบลหนินหลิง เซียนทั้งสองได้สอนวิธีบำเพ็ญเพียรเพื่อให้สำเร็จเป็นเซียน จนในที่สุดเธอก็ได้สำเร็จเป็นเซียน ท่านเซียนทั้งสองได้ตั้งชื่อให้ใหม่ว่า เหอเซียนกู่ กล่าวกันว่า มีคนเห็นเหอเซียนกู่เหาะอยู่เหนือโรงเจมั่วโกว ระหว่าง พ.ศ. ๑๓๐๙ - ๑๓๒๑ เหอเซียนกู่ เป็นเซียนองค์ที่ ๖ และถือว่าเป็นศิษย์ของหลันไช่เหอด้วย
หลันไช่เหอเป็นเซียนแห่งมวลบุปผาชาติและความอุดมสมบูรณ์
นางฮ่งเซียนไกว เซียนแห่งความดีงาม ความซื่อสัตย์
เหอเซียนกู่ หรือ ฮ่อเซียนโกว นามเดิมว่า เชียง แซ่เหอ บิดาชื่อ เหอซู นางถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๑๐ ค่ำ เดือน ๔ ตามจันทรคติจีน เมื่อ พ.ศ. ๑๒๔๓ ณ ตำบลหนินหลิง อำเภอหยง แขวงเมืองกว่างตง บางตำนานว่าอาศัยอยู่แถบตำบลหยุนมู่ซี อำเภอเจิ้งเฉิง แขวงกว่างตง ในปีจิ่วซื่อ รัชสมัยพระนางอู่เจ๋อเทียน ( บูเช็กเทียน ) แห่งราชวงศ์ถัง เสวยราชย์ พ.ศ. ๑๒๒๗ – ๑๒๔๘
กล่าวกันว่า เหอเซียนกู่มีนิสัยอ่อนโยน ร่าเริง ชอบอยู่อย่างสงบ นางช่วยบิดามารดาเก็บใบชาที่ไร่ชาของบิดาที่ปลูกไว้บนเนินเขา วันหนึ่งเธอได้พบกับเซียนหลิ่วตงปินที่ไร่ชาและได้คุยสนทนากัน เมื่อเธอกลับมาถึงบ้าน กลางคืนฝันว่า มีไต้ซือองค์หนึ่งมาบอกให้กินผงไมคา ซึ่งเป็นผงแร่ชนิดหนึ่งแวววาวคล้ายกระจก ไต้ซือกล่าวว่าหากกินผงนี้เข้าไปแล้วจะทำให้เนื้อตัวเบา ไม่เจ็บไม่ไข้ และสามารถเดินเหินได้รวดเร็วเหมือนเหาะ เมื่อเธอตื่นขึ้นจึงคิดว่าเทวดาคง
มาโปรดแน่นอน เธอจึงกินแป้งผงดังกล่าว หลังจากนั้นได้ผลคือทำให้ตัวเบา ทำงานได้คล่องแคล่วว่องไวกว่าเดิมมาก สามารถเดินได้เหมือนเหาะ ซึ่งขณะที่เธอมีอายุได้ ๑๓ ปี ข้างบิดามารดาเห็นว่าเธอโตเป็นสาวแล้วสมควรที่จะมีครอบครัวตามประเพณี หากใครมาสู่ขอก็จะยกให้ทันที เมื่อเธอทราบดังนั้น จึงตั้งจิตอธิษฐานว่า จะขอเป็นสาวโสดตลอดชีวิต และเริ่มกินอาหารเจ บิดามารดาก็ไม่ได้บังคับแต่ประการใด อีกตำนานหนึ่งเล่าว่า เหอเซียนกู่เป็นธิดาเจ้าของร้านขายของชำที่ตำบลหลิงหลิง แขวงหูหนาน แห่งราชวงศ์ถัง ได้ขึ้นภูเขาไปเก็บสมุนไพรพบกับหลิ่วตงปิน เขาได้ให้ลูกท้อแก่เธอ แล้วบอกว่าเมื่อกินเข้าไปแล้วจะได้เป็นเซียน
เย็นวันหนึ่งที่ฝั่งแม่น้ำในตำบลหนินหลิง หลี่ทิก้วยกับหลันไช่เหอได้เหาะผ่านมาและเข้าไปสนทนากับเธอ เซียนทั้งสองต่างแนะนำการปฏิบัติสมาธิวิธีการบำเพ็ญเพียรตลอดจนเวทมนตร์ต่างๆให้แก่เธอ ในช่วงที่เธอไปเก็บใบชาบนภูเขาหรือเดินทางท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆบนภูเขาแถบนั้นซึ่งใช้เวลาเดินทางไปกลับอย่างรวดเร็วแบบเซียน และยังได้เก็บผลไม้ในป่ามาฝากมารดาทุกครั้ง จนมารดาสงสัยว่าไปเอาผลไม้เหล่านั้นมาจากที่ใด แล้วเธอก็เล่าให้ฟังตามที่ได้ศึกษาวิชาเซียนกับอาจารย์ทั้งสอง จนในที่สุดเธอก็สำเร็จเป็นเซียนเมื่ออายุได้เพียง ๑๔ ปีเท่านั้น เมื่อ พ.ศ. ๑๒๕๗ ทำให้พฤติกรรมของเธอเปลี่ยนไป คือ มีความรู้ลุ่มลึก พูดจาฉะฉานมีเหตุผล มีความสง่านุ่มนวล ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากด้วยเวทมนตร์และการพยากรณ์ได้แม่นยำ ทำให้คนทั้งตำบลและอำเภอต่างกล่าวขานกันถึงความเป็นผู้วิเศษของเธอ กิตติศัพท์เล่าลือไปถึงเมืองหลวงฉางอาน จนทรงทราบถึงพระกรรณพระนางอู่เจ๋อเทียน พระองค์จึงโปรดเกล้าฯให้ข้าหลวงไปเชิญมาเฝ้า เธอก็มิได้ว่ากระไร แต่พอมาถึงกลางทางปรากฏว่าเธอหายตัวไป พวกขุนนางทหารต่างพยายามหาแต่ก็ไม่พบ จึงกลับไปกราบทูลให้ทรงทราบ
ในปีเอวี๋ยนเหอ รัชสมัยฮ่องเต้ถังเสวียนจง ( หลี่ฉุน ) พ.ศ. ๑๒๕๐ – ๑๒๕๓ ได้มีคนเห็นเซียนหลี่ทิก้วยกับหลันไช่เหอพาเหอเซียนกู่ขี่เมฆเหาะไปเข้าเฝ้าไท่ซังเล่าจุนที่เขาหัวซาน เพื่อรับการแต่งตั้งเป็นเซียนองค์ที่ ๖ ในนามว่า เหอเซียนกู่ ต่อมามีคนเห็นเธอขี่เมฆห้าสีเหาะอยู่เหนือโรงเจ
ในปี พ.ศ. ๑๓๐๙ – ๑๓๒๑ ปีต้าลี่ รัชสมัยฮ่องเต้ถังไต้จง ( หลี่อิ้ว ) ได้มีคนเห็นเหอเซียนกู่ที่โรงเจ เมืองกว่างโจว ต่างก็รีบไปแจ้งเจ้าเมือง เมื่อมาถึงปรากฏว่าเธอได้หายไปเสียแล้ว ข้าหลวงจึงทำเรื่องกราบบังคมทูลรายงานให้ทรงทราบ สำหรับภาพของเหอเซียนกู่เป็นรูปหญิงสาวสวยถือดอกบัว
เหอเซียนกู่เป็นเซียนแห่งความดีงาม ความซื่อสัตย์ กตัญญู เกษตรกรรม
ฮั่นเซียงจื้อ เซียนพยากรณ์ ผู้หยั่งรู้ และการดนตรี
หันเซียงจื่อ ชื่อตนว่า เสียง แซ่หัน ( ฮั่น ) ชื่อแบบฉบับเฉพาะของตนเองว่า ชิงฝู หันเซียงจื่อถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๙ ค่ำ เดือน ๑๑ ตามจันทรคติจีน ณ เมืองหลวงฉางอาน รัชสมัยฮ่องเต้ถังเต๋อจง ( หลี่กัว ) พ.ศ. ๑๓๒๓ – ๑๓๔๕ แห่งราชวงศ์ถัง หันเซียงจื่อเป็นหลานของหันอวี้ ปลัดกรมราชประเพณีแห่งราชสำนักถัง ในขณะที่เซียงจื่ออายุยังน้อยเพิ่งเป็นหนุ่มแต่เป็นคนมักน้อย ชอบนั่งสมาธิบำเพ็ญเพียร ไม่ยินดียินร้ายกับตำแหน่งหน้าที่ราชการในการเป็นขุนนางอย่างตระกูลแซ่หัน ทำให้ลุงหันอวี้ไม่ค่อยพอใจในพฤติกรรมของหลานชายหนุ่มน้อยคนนี้ ที่ประพฤติผิดแปลกไปจากญาติพี่น้องของตนที่ทำราชการมียศฐาบรรดาศักดิ์ทั้งสิ้น ซึ่งลุงต้องการให้เขาเรียนวิชาทั้งฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋น แต่นี่กลับไปนั่งสมาธิเสีย เซียงจื่อเคยตอบลุงเขาไปว่า อุปนิสัยใจคอของคนเราต่างกัน มีความชอบไม่เหมือนกันแล้วจะให้ประพฤติเหมือนกันได้อย่างไร ทำให้ลุงของเขาเคืองมาก
วันหนึ่งเซียงจื่อเดินทางท่องเที่ยวไปแสวงหาอาจารย์เพื่อเรียนวิชาการบำเพ็ญพรต เขาได้พบกับหลิ่วตงปิน จึงได้สมัครเป็นศิษย์และศึกษาเวทมนตร์การบำเพ็ญเพียรจากหลิ่วตงปินจนคล่อง กล่าวกันว่าขณะที่เขาเดินป่าเห็นลูกท้อผลโตกำลังสุกน่ากิน เขาจึงปีนขึ้นไปจะเก็บลูกท้อนั้น บังเอิญกิ่งต้นท้อหักลงมาทั้งคนทั้งกิ่งทับร่างเซียงจื่อ ปรากฏว่าร่างมนุษย์หายไปกลายเป็นร่างเซียน หันเซียงจื่อจึงเป็นเซียนตั้งแต่วันนั้น
หันเซียงจื่อจึงเดินทางกลับไปบ้านเพื่อเยี่ยมลุง และตั้งใจไว้ว่าจะปรับชีวิตจิตใจลุงของตนให้สำเร็จเป็นเซียนให้ได้ บังเอิญในปีนั้นฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล ทำให้ราษฎรเดือดร้อนกันทั่ว ฮ่องเต้จึงโปรดเกล้าฯให้หันอวี้ประกอบพิธีขอฝน หันอวี้ตั้งโรงพิธีขึ้นทำการบวงสรวงเทพยดาเพื่อขอให้ฝนตกหลายครั้ง แต่ฝนก็ยังไม่มีเค้าว่าจะตก ทำให้ฮ่องเต้ทรงพิโรธ กำลังจะปลดออกจากตำแหน่งอยู่แล้ว เซียงจื่อจึงแปลงร่างเป็นไต้ซือถือป้ายข้อความเดินมาหาหันอวี้ ข้างหันอวี้เห็นไต้ซือมาหาจึงขอให้ช่วยประกอบพิธีขอให้ฝนตกด้วย เพราะตนสุดวิสัยแล้ว ข้างไต้ซือปลอมจึงตอบตกลงประกอบพิธีเพียงเวลาเล็กน้อยฝนก็ตกลงมาทั่วฟ้า แต่หันอวี้กล่าวว่าที่ฝนตกลงมามากมายเช่นนี้เป็นการบวงสรวงของตนต่างหาก หาใช่ฝีมือของไต้ซือไม่ ข้างไต้ซือจึงว่า ฝนที่ตกลงมานี้ซึมลึกลงไปใต้พื้นดินถึง ๓ ฟุต ๓ นิ้ว หันอวี้จึงให้พนักงานขุดลงไปดูแล้ววัดตามที่ไต้ซือบอก ปรากฏว่าเป็นจริง หันอวี้จึงเชื่อถือไต้ซือปลอม
วันหนึ่งหันอวี้ได้จัดงานเลี้ยงคล้ายวันเกิดของตนที่บ้าน เชิญแขกพวกขุนนางเพื่อนฝูงมาเป็นจำนวนมาก ขณะที่แขกกำลังเสพสุราอาหารอยู่นั้น หันเซียงจื่อก็เดินเข้าไปในบ้าน หันอวี้เห็นหน้าก็เกิดความแค้นขึ้นมาที่ตนเคยสั่งให้ไปเรียนหนังสือแล้วไม่เชื่อฟัง แล้วกลับหายหน้าไปหลายปี จึงอยากทดสอบหลานชายว่า ที่หายไปนั้นได้ความรู้อะไรมาบ้าง จึงให้แต่งคำฉันท์ขึ้นมาบทหนึ่ง เพื่อแสดงให้เห็นถึงความคิดของคนแต่งว่าฉลาดโง่เขลาสักปานใด ข้างเซียงจื่อจึงแต่งโอ้อวดว่าตนมีวิชาอาคมอิทธิฤทธิ์ ต้องการสิ่งใดก็ร่ายมนตร์มาได้ทั้งสิ้น
หันอวี้จึงอนุญาตให้เซียงจื่อแสดงอิทธิฤทธิ์ตามที่ตนต้องการ เซียงจื่อจึงเอาไหสุราเปล่ามาวางไว้บนโต๊ะท่ามกลางงานเลี้ยง แล้วเอาจานทองคำปิดปากไหสุรา ร่ายมนตร์แล้วเปิดฝาไห ปรากฏว่ามีสุราอย่างดีเต็มไห จากนั้นเอากระถางต้นไม้มาใส่ดินวางบนโต๊ะแล้วเอาน้ำรดลงไป ทันใดนั้นต้นไม้ก็งอกสูงขึ้นเป็นต้นโบตั๋นออกดอกชูช่อเป็นสีเขียวแก่ ที่กลีบใบมีอักษรสีทอง ๑๔ ตัว เป็นปริศนาคำฉันท์ ๒ บท แต่หันอวี้อ่านแล้วไม่รู้ความหมาย ข้อความกล่าวว่า “เมื่อเมฆมืดมิดปิดภูเขาและหนทาง จนถึงด่านหนาน หิมะปกคลุมตัวม้า” หันเซียงจื่อกล่าวว่า นิมิตที่ปรากฏนี้เมื่อถึงเวลาก็รู้เอง บรรดาแขกที่มาในงานก็เห็นด้วย จากนั้นหันเซียงจื่อจึงลาลุงท่องเที่ยวไปตามป่าเขาตามวิสัยเซียน
ล่วงถึงปีเจวี๋ยนเหอที่ ๑๔ รัชสมัยฮ่องเต้ถังเสวียนจง พ.ศ. ๑๓๖๒ ด้วยข่าวว่า พระเจดีย์เมืองหงษาวดีมีพระพุทธหัตถธาตุ เมื่อครบ ๑๐ ปีจึงเปิดให้ราษฎรนมัสการครั้งหนึ่ง ถ้าปีใดเปิดเจดีย์แล้ว ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล พืชผลอุดมดี พระองค์จึงทรงมีพระราชสาสน์แต่งทูตไปยังประเทศพม่า เพื่อยืมพระพุทธหัตถธาตุมาสักการบูชาที่พระราชวังและหมุนเวียนไปตามวัดต่างๆจนครบกำหนดแล้วจึงคืน ข้างหันอวี้ได้มีหนังสือกราบบังคมทูลว่า ไม่สมควรที่จะเอากระดูกนิ้วมือของพระพุทธเจ้ามาบูชา ควรเอาไปเผาหรือทิ้งลงแม่น้ำเสีย เพื่อตัดความเคารพเชื่อถือของราษฎรที่กำลังหันเหจากลัทธิเต๋าไปสู่ศาสนาพุทธพระองค์กริ้วมากรับสั่งให้ลงอาญาอย่างหนัก แต่พวกขุนนางที่เฝ้าแหนต่างกราบทูลขออภัยโทษแทน ด้วยเห็นว่าหันอวี้เป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์ พระองค์จึงลดโทษโดยเนรเทศให้ไปอยู่เมืองทุรกันดารห่างไกลเมืองหลวง คือเมืองเซียวเอี๋ยง แขวงกว่างตง ( ปัจจุบันคือเมืองกุ้ยเอี๋ยง หรือ กุ้ยหยาง มณฑลกุ้ยโจว )
ในขณะนั้นเป็นช่วงฤดูหนาวหิมะปกคลุมไปทั่ว หันอวี้ออกเดินทางจากเมืองฉางอาน ต้องขี่ม้าลุยหิมะไป ในขณะที่ตนอายุก็มากแล้ว ทั้งม้าทั้งคนต่างอิดโรยหิวโหยหมดแรงด้วยหิมะตกหนักหนามาก จนม้าหมดกำลังลงไม่สามารถจะเดินต่อไปได้ กำลังจะจมลงไปในกองหิมะเช่นเดียวกับคนขี่ ข้าง
เซียงจื่อได้ไปคอยรับอยู่ก่อนแล้ว จึงตรงเข้าไปคารวะลุงหันอวี้ แล้วถามลุงว่ายังจำปริศนาคำฉันท์สองบทนั้นได้หรือไม่ ลุงจึงถามว่าที่นี่เป็นตำบลอะไร เซียงจื่อตอบว่า ที่นี่คือ ด่านหนาน หันอวี้จึ่งว่า “เคราะห์ดีเคราะห์ร้ายของคนทั้งปวงพระเจ้าบนสวรรค์ได้กำหนดไว้แล้ว ใครเลยจะหลีกเลี่ยงให้พ้นได้ หากว่ากรรมตามทันก็ประสบผลร้าย ถ้าหากบุญส่งเสริมก็จะประสบแต่ผลดี เป็นธรรมดาดุจเงาตามตัว” แล้วเซียงจื่อจึงพาหันอวี้เข้าไปในเมืองตำบลด่านหนาน เขาเอายาวิเศษให้ลุงกินหนึ่งเม็ดเพื่อไม่ให้เจ็บไข้ได้ป่วยและแข็งแรงดีสามารถเดินทางไปได้อีกยาวไกล พร้อมกับกล่าวต่อไปว่า อีกไม่นานจะได้กลับไปเมืองหลวงแน่นอน ว่าแล้วหันเซียงจื่อก็ลาลุงกลับไป
ต่อมาคณะเซียนได้ไปรับหันเซียงจื่อพาไปยังเขาหัวซานเพื่อคารวะไท่ซังเล่าจุนเจ้าสำนักเซียน เพื่อรับการแต่งตั้งเป็นเซียนองค์ที่ ๗ ในนามหันเซียงจื่อ
หันเซียงจื่อเป็นเซียนแห่งการพยากรณ์ ผู้หยั่งรู้ และการดนตรี
เช่าก๊กกู่ เซียนแห่งยศฐาบรรดาศักดิ์
จ้าวกั๋วจิ่ว หรือ จ้าวจิงสิ่ว เป็นคนแซ่จ้าว ชื่อตัวว่า จิงสิ่ว มีน้องชายคนหนึ่งชื่อ จิงซื่อ จ้าวจิงสิ่วถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ ตามจันทรคติจีน พื้นเพเดิมเป็นคนชาวอำเภอซู่ มีพี่สาวคนหนึ่งชื่อ จ้าวซื่อ ได้เป็นพระนางฮองเฮาหรือพระมเหสีในฮ่องเต้ซ่ง
เหรินจง ( จ้าวเจิน ) เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติ พ.ศ. ๑๕๖๖ – ๑๖๐๖ แห่งราชวงศ์ซ่งเหนือ เมืองหลวงตั้งอยู่ที่เมืองตงจิง หรือเมืองไคเฟิง หลังจากที่ฮ่องเต้เสด็จสวรรคตแล้ว พระราชินีจ้าวซื่อ ได้เป็น พระนางฮองไทเฮา พระมหาอุปราชเสด็จขึ้นครองราชย์เป็น ฮ่องเต้ซ่งอิงจง ( จ้าวสู่ ) จ้าวจิงสิ่วจึงเป็นเชื้อพระวงศ์แซ่จ้าวแห่งราชวงศ์ซ่งเหนือ ในฐานะพระอนุชาฮองเฮา จึงเป็นจ้าวจิงสิ่วอ๋อง รวมทั้งจ้าวจิงซื่ออ๋องด้วย
ข้างจ้าวจิงซื่ออ๋องถือตนว่าเป็นน้องชายฮองเฮาเป็นเชื้อพระวงศ์ ไม่เจียมตนประพฤติแต่สิ่งเลวทราม เป็นอันธพาลฆ่าคนตาย เป็นนักเลงใหญ่รังแกคนในเมืองหลวงโดยไม่เกรงกลัวผู้ใดและไม่เกรงใจชาวบ้าน ชอบข่มเหงน้ำใจราษฎร สร้างความเดือดร้อนมาให้ญาติพี่น้องเป็นประจำ ทำให้ญาติพี่น้องได้รับคำติฉินนินทาไปทั่วเมืองหลวง เขาฉ้อโกงที่ดินของชาวบ้านเพื่อนำมาเป็นของตน ข่มเหงน้ำใจชาวบ้านด้วยการหาหญิงสาวมาบำเรอตน พอเบื่อก็นำเข้าไปบริการที่โรงเตี๊ยมไว้รับแขก พวกอันธพาลใหญ่น้อยต่างเข้ามาสมัครเป็นลูกน้องประจบสอพลอยุยง หากเรื่องใดถึงโรงถึงศาลก็วิ่งกลบเรื่องเดินเหินจนเรื่องนั้นหายไป หรือบางเรื่องศาลก็ไม่รับฟ้องเพราะเกรงกลัวอำนาจของพระนางฮองไทเฮาและจ้าวจิงสิ่วอ๋องพี่ชาย
ฝ่ายจ้าวจิงสิ่วรำพึงว่า ครอบครัวญาติพี่น้องของตน ต่างอยู่ดีมีความสุขกันถ้วนหน้ากันตอนนี้ก็เพราะพี่สาวได้เป็นพระราชินีมีอำนาจล้นฟ้า คงเป็นบุญวาสนาของพวกตน ที่สืบเนื่องมาจากบรรพบุรุษที่ได้สร้างแต่กุศลผลบุญเป็นลำดับมาหลายชั่วอายุคน จนถึงรุ่นของพวกตนที่พี่สาวยังมีบุญวาสนาสูงส่ง ต่างคนมียศฐานันดรศักดิ์เสวยสุขกัน จึงสมควรที่จะต้องตั้งใจรับราชการด้วยความซื่อสัตย์กตัญญูต่อแผ่นดินและบรรพบุรุษ สนองพระเดชพระคุณราชวงศ์ซ่ง ควรแล้วหรือที่ จ้างจิงซื่ออ๋อง กลับมาทำความชั่วช้าเลวทรามข่มเหงราษฎร ยังไม่เห็นเงาหัวของตนเอง ซึ่งตนได้ตักเตือนสั่งสอนน้องชายคนนี้มาตลอด แต่เขากำลังมัวเมาลุ่มหลงในยศศักดิ์ทำการข่มเหงราษฎรฉ้อราษฎร์บังหลวง มีหรือที่เขาจะเชื่อฟัง กลับมาโกรธเขาเสียอีก จ้าวจิงสิ่วยังรำพึงต่อไปว่า ถ้าหากชาตินี้เคราะห์กรรมยังมาไม่ถึง บรรดาญาติสกุลของตนในชาตินี้ เป็นโชคดีมหาศาลที่ต่างยังเสวยสุข ถึงแม้น้องชายของตนยังไม่ประสบเคราะห์ร้ายในชาตินี้ ก็จะต้องไปชดใช้กรรมในชาติหน้าแน่นอน คนในเมืองหลวงเข้าใจว่าตนรู้เห็นเป็นใจและสนับสนุนน้องชายให้ทำชั่วเช่นนี้
เมื่อจ้าวจิงสิ่วอิ่มซึ่งลาภยศฐานันดรศักดิ์สรรเสริญ รู้บาปบุญคุณโทษ ไม่หลงเมามัวไปกับสิ่งเหล่านั้น จึงเริ่มปล่อยวางหน้าที่การงานทั้งปวง หันไปถือศีลกินเจบำเพ็ญกุศล เอาเงินทองของตนไปแจกจ่ายให้แก่ผู้ยากจนทั่วไป แล้วสั่งสอนบุตรหลานภรรยาและร่ำลาญาติมิตร แต่งตนเป็นไต้ซือเต้าหยินออกเดินทางไปตามป่าเขาเพื่อแสวงหาความวิเวก จนไปพบถ้ำแห่งหนึ่งเหมาะที่จะทำความเพียร จึงได้ปักหลักอยู่ในที่นั้นหลายปี จนบรรลุสำเร็จเป็นเซียน
จนวันหนึ่งฮั่นจงหลี่ได้รับบัญชาให้ไปรับจ้าวจิงสิ่วมายังเขาหัวซาน ฮั่นจงหลี่พร้อมด้วยหลิ่วตงปินจึงขี่เมฆไปยังสำนักของจ้าวจิงสิ่วถึงโรงเจ ก็เข้าไปสนทนากับจ้าวจิงสิ่ว แล้วถามว่า “ท่านทำความเพียรไปเพื่อประโยชน์อันใด” จ้าวจิงสิ่วตอบว่า “สิ่งทั้งหลายไม่ต้องการ แต่ต้องการญาณตะบะ” แล้วถามต่อว่า “อันความจริงแท้นั้นอยู่ ณ ที่ใด” จ้าวจิงสิ่วชี้ขึ้นสวรรค์ “แล้วสวรรค์อยู่ที่ไหนกัน” จ้าวจิงสิ่วชี้มาที่หัวใจของตน ฮั่นจงหลี่จึงหัวเราะแล้วว่า “สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ ใจคือตะบะ ตะบะนั่นแหละใจ” แล้วต่างก็ชวนกันไปเฝ้าไท่ซังเล่าจุนเจ้าสำนักใหญ่ที่เขาหัวซาน
ในที่สุดคณะโป๊ยเซียนก็ครบองค์ ได้จ้าวจิงสิ่วเป็นเซียนองค์ที่ ๘ คณะเซียนได้ประชุมพร้อมกันที่เขาหัวซาน อวนคูเซียนจึงว่า กว่าคณะแปดเซียนจะครบองค์ซึ่งเริ่มตั้งแต่เซียนองค์แรกครั้งกระโน้นคือ หลี่ทิก้วย จนถึงองค์ที่ ๘ คือ จ้าวจิงสิ่ว เป็นเวลากว่าพันปีในโลกมนุษย์ แต่ถ้าคิดเป็นเวลาในโลกของเซียนก้ไม่นานนัก เมื่อเซียนทุกองค์ครบจึงเข้าไปเฝ้าองค์ไท่ซังเล่าจุน พระอาจารย์ใหญ่ ไท่ซังเล่าจุนจึงว่า “การที่จ้าวจิงสิ่วสละลาภยศฐานันดรศักดิ์แห่งโลกมนุษย์ ตั้งตนบำเพ็ญเพียรด้วยวิริยอุตสาหะเป็นอย่างสูง จนสำเร็จญาณขั้นสูงสุด เป็นที่น่ายินดียิ่งนัก ควรยกย่องให้จ้าวจิงสิ่วเป็นเซียนองค์ที่ ๘ ในคณะโป๊ยเซียน” หลังจากนั้นเซียนแต่ละองค์ต่างลาเจ้าสำนักขี่เมฆเหาะกลับไปยังสำนักของแต่ละองค์
จ้าวจิงสิ่วเป็นเซียนแห่งตำแหน่งยศฐาบรรดาศักดิ์ ราชการและพนักงาน ความซื่อสัตย์